คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2568 ลงมาอยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย ซึ่งลดลง 17 สตางค์จากอัตรา 4.15 บาทต่อหน่วยที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าใหม่นี้ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยเล็กน้อย โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในรอบเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2568
กลไกการลดค่าไฟฟ้า
การปรับลดค่าไฟฟ้าครั้งนี้เกิดจากการนำเงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) มูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทมาใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าสามารถปรับตัวลดลงได้ประมาณ 0.17 บาทต่อหน่วย เงิน Claw Back นี้เป็นเงินที่เกิดจากการประมาณการว่าจะมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีการใช้จริง ส่งผลให้จำนวนเงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกินที่คงเหลือจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท
ผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า
ตามรายงานของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด การปรับลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวถือเป็นปัจจัยเชิงลบต่อกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าทั้งหมด โดยมีรายละเอียดดังนี้:
กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP
ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภท Small Power Producer (SPP) ที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสูง เช่น BGRIM (บี.กริม เพาเวอร์), GPSC (โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่) และ GULF (กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์) คาดว่าจะได้รับผลกระทบในแง่ของอัตรากำไรขั้นต้น โดยคาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 2/2568 จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ทั้งนี้เป็นผลมาจากนโยบายค่าไฟฟ้าที่ลดลง และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน
กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีโครงสร้างค่าไฟฟ้าในบางโครงการที่อิงกับค่า Ft (ค่าไฟฟ้าผันแปร) ก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยราคาขายไฟฟ้าในไตรมาสที่ 2/2568 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
แนวโน้มราคาหุ้นและกลยุทธ์การลงทุน
ในระยะสั้น คาดว่าราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าจะมีการปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้วในระดับหนึ่ง จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นขอบเขตการปรับตัวลง (Downside) ที่จำกัดมากขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ได้เลือก GULF เป็น Top Pick ในกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 68.25 บาท ด้วยเหตุผลสำคัญคือ:
- ผลกระทบจากการลดค่าไฟฟ้าที่คาดว่าจะมีผลกระทบจำกัดต่อบริษัท
- แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาสที่ 1/2568 ที่คาดว่าจะเติบโตและทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ปัจจัยที่ควรติดตาม
นักลงทุนควรติดตามปัจจัยต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด:
- ความเคลื่อนไหวของราคาก๊าซธรรมชาติและเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตและอัตรากำไรของบริษัทในกลุ่ม
- นโยบายพลังงานและการปรับค่า Ft ในรอบถัดไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้และกำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้า
- ผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2568 ของบริษัทในกลุ่ม โดยเฉพาะ GULF ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
- แผนการลงทุนและโครงการในอนาคตของบริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งอาจช่วยหักล้างผลกระทบเชิงลบจากการปรับลดค่าไฟฟ้า
- การฟื้นตัวของภาคการผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม
บทสรุป
การปรับลดค่าไฟฟ้ามาอยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วยในงวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2568 แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภค แต่กลับส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโครงสร้างรายได้เชื่อมโยงกับค่า Ft และกลุ่มที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมสูง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวอาจได้สะท้อนไปในราคาหุ้นบางส่วนแล้ว และในระยะยาว ปัจจัยด้านการเติบโตของกำไร แผนการลงทุน และการขยายกำลังการผลิตยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานควรพิจารณาเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการบริหารต้นทุนที่ดี มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าไฟฟ้าและต้นทุนเชื้อเพลิงในอนาคต